ถ้าให้พูดถึงการออกกำลังกาย สามารถแบ่งการออกได้หลายประเภทด้วยกัน และหนึ่งในนั้นที่เรากำลังจะพูดถึงคือ การออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) ที่กำลังเป็นเทรนด์กันอยู่ตอนนี้
ในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา หลายคนคงเคยได้ยิน HIIT Workout ผ่านหูมาแล้วบ้าง แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแตกต่างกับการออกกำลังกายแบบ Cardio ยังไง วันนี้ทาง Fit.Friend จะไขข้อสงสัยให้กับทุกคนครับ
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
- HIIT Workout คืออะไร
- การออกกำลังกายแบบ HIIT มีอะไรบ้าง
- ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบ HIIT
- HIIT กับ Cardio ต่างกันอย่างไร
- สรุป
HIIT Workout คืออะไร?
การออกกำลังกายแบบ HIIT Workout หรือที่หลาย ๆ คนเรียกติดปากว่า การออกกำลังกายแบบ “ฮิต” เป็นคำย่อที่มาจากคำว่า “High-Intensity Interval Training” คือการออกกำลังกายในรูปแบบหนักสลับเบา ในระยะเวลาสั้นๆ 10-30 นาทีเท่านั้น
เนื่องจาก HIIT เป็นการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงสามารถกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจได้สูงถึง 85-90% เบิร์นไขมันออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และยังสร้าง Afterburn Effect ให้กับร่างกาย
ทำให้ระบบบเผาผลาญทำงานได้อย่างต่อเนื่องสูงสุดถึง 48 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกายเสร็จ แม้คุณจะเลิกออกกำลังกายไปแล้วแต่ร่างกายก็จะยังคงเผาผลาญไขมันอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ออกกำลังกายแบบ HIIT มีอะไรบ้าง?
รูปแบบการออกกำลังกายแบบ HIIT หรือ การออกกำลังแบบหนักสลับเบา สามารถทำได้หลายรูปแบบ ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของเรา สำหรับมือใหม่ทาง Fit.Friend อยากแนะนำอัตราส่วนการออกกำลังกายตามนี้ครับ
- อัตราส่วน 1 : 2 คือ ออกกำลังกายหนัก 15 วินาที และเบา 30 วินาที พัก 15 วินาที
- อัตราส่วน 1 : 3 คือ ออกกำลังกายหนัก 15 วินาที และเบา 45 วินาที
- อัตราส่วน 1 : 1 คือ ออกกำลังกายหนัก 30 วินาที และเบา 30 วินาที
หากร่างกายเริ่มชินกับการออกกำลังกายแล้ว อยากเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำ ก็สามารถปรับเปลี่ยนอัตราส่วนได้ สำหรับอัตราส่วนที่นิยมใช้ คือ
- อัตราส่วน 2 : 1 คือ ออกกำลังกายหนัก 40 วินาที และเบา 20 วินาที
- อัตราส่วน 3 : 1 คือ ออกกำลังกายหนัก 45 วินาที และเบา 15 วินาที
ควรทำวนซ้ำ 10- 20 เซท หรือ 10-30 นาที แล้วแต่ขีดจำกัดของร่างกาย
ตัวอย่างโปรแกรมออกกำลังกายแบบ HIIT
- วิ่งอยู่กับที่ : วิ่งยกเข่าสูงๆ อยู่กับที่ แรงและเร็วที่สุด 30 วินาที จากนั้นวิ่งเหยาะๆอยู่กับที่ 30 วินาที ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 10- 20 เซท หรือ 10-30 นาที
- วิ่งบนลู่วิ่ง : วิ่งบนลู่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่สุด 1 นาที วิ่งบนลู่วิ่งด้วยความเร็วธรรมดา 4 นาที ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งครบ 10- 20 เซท หรือ 10-30 นาที
- การปั่นจักรยาน : ปั่นให้เร็วและแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ 30 วินาที จากนั้นให้ปั่นช้าๆ ความเร็วธรรมดาสัก 4 นาที ทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งครบ 10- 20 เซท หรือ 10-30 นาที
ข้อควรระวังควรวอร์มกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายแบบ HIIT เพื่อลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เนื่องจากโปรแกรมการออกกำลังกาย HIIT เข้มข้นมาก ทั้งนี้ควรมีเทรนเนอร์ส่วนตัวช่วยประเมินร่างกาย ดูแลท่าทางที่ถูกต้อง ทาง Fit.Friend พร้อมส่งเทรนเนอร์ไปช่วยดูแลคุณถึงที่บ้าน
ประโยชน์ของการออกกำลังกายแบบ HIIT
นอกจากการออกกำลังกายแบบ HIIT จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว HIIT ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายด้านอื่นๆ อีกด้วย ดังนี้
1.ช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญทำงานได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การออกกำลังกายแบบ HIIT สามารถสร้าง Afterburn Effect ให้กับร่างกาย ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่องสูงสุดถึง 48 ชั่วโมงหลังการออกกำลังกายเสร็จ
2.เป็นการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงในเวลาอันสั้น
หากคุณมีเวลาจำกัดในการออกกำลังกาย หรือมีความจำเป็นต้องรีบออกกำลังกายในเวลาอันสั้น การออกกำลังกายแบบ HIIT เป็นอีกทางเลือก ที่คุณจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากมีความเข้มข้นของการออกกำลังกายสูง สามารถเบิร์นไขมันได้มากกว่าการวิ่งเหยาะๆ บนลู่วิ่งเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
3.ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่
การออกกำลังกายแบบ HIIT นั้นไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย เพียงแค่ใช้ร่างกายของตัวเองก็สามารถออกกำลังกายได้ ทำให้ข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่หมดไป เนื่องจากไม่ใช้พื้นที่เยอะแล้วยังช่วยประหยัดเวลาได้อีกด้วยเพียงแค่ 10-30 นาที เราก็สามารถออกกำลังกายได้ครบทุกส่วน
4.ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
การออกกำลังกายแบบ HIIT แทบจะเรียกได้ว่าใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายได้เลย ส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ มีความแข็งแรงและเป็นรูปเป็นร่างได้มากขึ้น
5.สร้างความท้าทายให้ตัวคุณเอง
การออกกำลังกาย HIIT ไม่ใช่การออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่เข้มข้น หนักหน่วง ต้องใช้แรงออกกำลังกายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้จะเป็นเวลาที่สั้น แต่ก็ใช้พลังกายเยอะเลยทีเดียว
6.ส่งผลดีต่อหัวใจ และหลอดเลือด
เนื่องจาก HIIT Workout ใช้เวลาการออกกำลังกายน้อยกว่าวิธีการออกกำลังกายแบบอื่นๆ ทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้มากขึ้นจึงทำให้หัวใจไม่ทำงานหนักจนเกินไป จึงทำให้สุขภาพแข็งแรง แถมยังทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรงอีกด้วย
HIIT กับ Cardio ต่างกันอย่างไร?
HIIT กับ Cardio เป็นการออกกำลังกายที่มีเป้าหมายหลักเหมือนกันคือ “สลายไขมัน” แต่การออกกำลังกายรูปแบบ HIIT จัดอยู่ในการออกกำลังกายจำพวกการวิ่งระยะสั้นหรือการฝึกร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ จะเป็นการออกกำลังที่มีความเข้มข้นสูง ดึงการใช้งานของกล้ามเนื้อทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น
ต่างกันกับการออกกำลังกายแบบ Cardio หรือ แอโรบิก (Aerobic Exercise) เพราะการออกกำลังกายแบบ HIIT ไม่ได้นำออกซิเจนมาใช้เพื่อเผาผลาญไขมันได้มากเท่ากับการออกกำลังกายรูปแบบ Cardio เพราะแหล่งพลังงานหลักคือคาร์โบไฮเดรตมากกว่า
ออกกำลังกายรูปแบบ Cardio หรือแอโรบิก (Aerobic Exercise) เป็นการออกกำลังที่มีความเข้มข้นต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 50-70% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด) และสามารถทำติดต่อกันเป็นเวลานาน
กิจกรรมพื้นฐานที่พวกเรารู้จักกันดี เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ หรือการเดิน จะโยงไปถึงการใช้ออกซิเจนในปริมาณที่เหมาะสมในการใช้พลังงานระหว่างออกกำลังกาย
การสลายไขมันด้วย Cardio นั้นต้องทำติดต่อกันเป็นเวลานานด้วยความเข้มข้นคงที่ ร่างกายของเรานั้นจะมีจุดที่เรียกว่า “โซนสลายไขมัน”
เมื่อเราเริ่มออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจยังปกติ และค่อยๆ ไต่ขึ้นไป เมื่อหัวใจเต้นไปถึงเปอร์เซ็นต์ในโซนสลายไขมัน จะต้องรักษาระดับการเต้นของหัวใจโซนนั้นอย่างน้อย 20 นาที เพื่อที่ออกซิเจนจะดึงไขมันมาใช้
เพราะออกซิเจนเป็นตัวนำไขมันในกล้ามเนื้อมาใช้ จึงเป็นการออกกำลังที่ดึงไขมันมาใช้อย่างตรงจุด เพียงแค่ต้องทำให้อยู่ในโซนสลายไขมันและทำในเวลาที่นานเพียงพอ
HIIT กับ Cardio แบบไหนลดไขมันได้มากกว่า?
จากที่กล่าวมาข้างบนหลายคนคงสงสัยว่าถ้า Cardio สามารถจัดการกับไขมันได้ดีมากกว่า แล้วทำไม HIIT จึงถูกจัดให้เป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด?
คำตอบคือ HIIT สามารถสร้าง Afterburn Effect ให้กับร่างกายช่วยเผาผลาญไขมันหลังออกกำลังกายเสร็จได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเป็นการฝึกด้วยความเข้มข้นสูง ต่างจาก Cardio ที่มักฝึกด้วยความเข้มข้นต่ำไปจนถึงปานกลางเท่านั้น ทำให้ HIIT สามารถดึงพลังงานมาใช้ทดแทนได้มากกว่า
มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย เพราะการออกกำลังกายในรูปแบบ HIIT ถือว่าเป็นที่ค่อนข้าง “ทารุณ” กับร่างกายเลยเพราะเป็นการฝึกร่างกายที่หนักหน่วง ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำก็ตาม
เนื่องจากการออกกำลังกายในลักษณะนี้จะกระตุ้นให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ใกล้เคียงกับการหนีตาย เนื่องจากต้องใช้แรงระเบิดการทำงานของกล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกาย ทำให้เกิดการสร้างความเครียดในร่างกายและกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นสูง
เพราะความหนักหน่วงของการออกกำลังกายรูปแบบ HIIT จึงทำให้มีหมายเหตุเตือนว่าการออกกำลังแบบเข้มข้น ไม่ควรทำมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นร่างกายจะเกิดความเครียดและส่งผลไม่ดีตามมา
HIIT กับ Cardio ควรเลือกแบบไหนดี?
ออกกำลังกายนั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล มันไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่ว่าสะดวกกันในรูปแบบใด หากว่ามองจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น HIIT น่าจะเป็นคำตอบ เพราะการออกกำลังกายแบบนี้ให้ประสิทธิผลสูงสุดในระยะเวลาอันสั้น สามารถสร้าง Afterburn Effect ให้กับร่างกาย ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้มากขึ้น
ส่วนข้อเสียสำหรับ HIIT ควรต้องระวังเรื่องท่าทางการออกกำลังกาย เพื่อลดอาการบาดเจ็บ และทำให้ได้ผลดีขึ้น อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อกระดูกต่างๆ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งผู้สูงอายุ
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ หรือควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการออกกำลังกาย เพื่อกำหนดวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม
ทางที่ดีควรมีเทรนเนอร์ส่วนตัวฝึกสอนแนะนำ โดยทาง Fit.Friend มีเทรนเนอร์เฉพาะทางจากสาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา ช่วยให้คุณออกกำลังกายได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล ไม่เสี่ยงบาดเจ็บ และเห็นผลลัพธ์ทางรูปร่างได้ไว
ในส่วนของ Cardio ช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างตรงจุด แต่น่าจะมีข้อเสียตรงที่เผาผลาญไขมันได้ค่อนข้างช้า ใช้เวลานานมากกว่า เนื่องจากอยู่ทำท่าเดิมๆ เป็นเวลานาน อาจจะให้หลายคนถอดใจไปก่อน และยังส่งผลให้รู้สึกหิวหลังออกกำลังกายเสร็จจนทำให้คุณเผลอกินอาหารเข้าไปทดแทนเยอะเกินไปแบบไม่รู้ตัว
สรุป
การออกกำลังกายแบบ HIIT เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลของรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ต้องระวังการบาดเจ็บของร่างกาย ส่วนของ Cardio ช่วยเผาผลาญไขมันได้อย่างตรงจุด เแต่ค่อนข้างต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร ทั้งนี้การออกกำลังกายไม่มีรูปแบบตายตัว อยู่ที่ตัวบุคคลว่าชื่นชอบแบบไหน เพราะสุดท้ายแล้วหากมีวินัยทำอย่างสม่ำเสมอ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดีต่อตัวคุณ
แต่ถ้าหากอยากเห็นผลลัพธ์ที่ไวขึ้น ให้ทาง Fit.Friend ช่วยดูแลรูปร่างของคุณ มีเทรนเนอร์ พร้อมส่งหาคุณได้ทุกที่ ตามไลฟ์สไตล์ของคุณ ช่วยประเมินร่างกาย จัดตารางการออกกำลังกายในแต่ละวัน และพร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านการออกกำลังกายที่จะนำไปสู่รูปร่างที่คุณต้องการ ราคาเริ่มต้นเพียง 600 บาท/ครั้ง หรือติดต่อแอดมินเพื่อสอบถามโปรโมชั่นประจำเดือนได้เลยครับ