มารู้จัก Functional Training ทางเลือกออกกำลังกาย ที่ทำให้คุณฟิตใน 1 ชั่วโมง !

“Functional Training คืออะไร” หลายคนคงเคยได้ยินโปรแกรมออกกำลังกายแบบนี้จากเพื่อน ๆ สายฟิต หรือจากเทรนเนอร์ส่วนตัว แต่ไม่เคยเข้าใจสักที ว่ามีความแตกต่างจากการออกกำลังกายแบบปกติอย่างไร และมีประโยชน์เรื่องไหนบ้าง

วันนี้ทาง Fit.Friend จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับโปรแกรมออกกำลังกายสาย Functional Training ให้กับเพื่อนๆ ในบทความนี้กัน

เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน

  1. Functional Training คืออะไร
  2. Functional Training ต่างจากโปรแกรมอื่นยังไง
  3. ตัวอย่างท่าออกกำลังกาย Functional Training
  4. ประโยชน์ของ Functional Training
  5. สรุป

Functional Training คืออะไร?

Functional Training คือการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อแทบจะทุกส่วนของร่างกาย เป็นการขยับข้อต่อ หรือใช้กล้ามเนื้อและโฟกัสร่างกาย มากกว่า 2 ส่วนขึ้นไป เช่น การดัน ดึง พับ สควอต หมุน แบก เดิน หรือการวิ่ง

ซึ่งจะช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องความแข็งแรง พละกำลัง การเคลื่อนไหว ความอึด และความยืดหยุ่น แถมยังช่วยลดอาการบาดเจ็บทางร่างกายอีกด้วย

หลักการสำคัญของวิธีฝึกแบบ Functional Training คือการออกกำลังกายแบบใช้กล้ามเนื้อรวมหลาย ๆ ส่วน ให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้ทำงานอย่างสัมพันธ์กัน มากกว่าการออกกำลังกายที่แยกใช้กล้ามเนื้อเป็นส่วนๆ

แม้แต่นักกีฬาทีมชาติเองก็ต้องฝึกรูปแบบโปรแกรม Functional Training เช่นกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวร่างกาย

Functional Training ต่างจากโปรแกรมอื่นยังไง?

การฝึกแบบ Functional Training จะเป็นการฝึกร่างกายในหลายๆ ทิศทาง ไม่เหมือนกับการใช้เครื่องออกกำลังกาย ที่จะเคลื่อนไหวได้แค่ทิศทางเดียว

โดยการฝึกแบบ Functional Training นั้นจะใช้กล้ามเนื้อหลายๆ มัดในเวลาเดียวกัน หากคิดภาพไม่ออก ทาง Fit.Friend มีตัวอย่างท่าออกกำลังกายแบบ Functional Training บางส่วนมาให้ดูดังนี้

ตัวอย่างท่าออกกำลังกายแบบ Functional Training

1. Lunge Twist

Lunge Twist

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ยืนตรง ถือดัมเบล / สิ่งของที่มีน้ำหนัก หรือตัวเปล่าก็ได้
  2. ก้าวขามาด้านหน้าได้ให้ได้มุม 90 องศา
  3. บิดเอวไปด้านซ้าย และด้านขวา 
  4. กลับไปยืนท่าเดิม

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง
  • กล้ามเนื้อแขน
  • กล้ามเนื้อขา
  • กล้ามเนื้อก้น

2. Mountain Climber

Mountain Climber

ลักษณะท่าเล่น :

  1. วางฝ่ามือลงกับพื้นกางไหล่ออก 
  2. ตั้งร่างกายเป็นตัวตรง ขนานกับพื้น
  3. ยกเข่าซ้ายเข้าหาหน้าอก จากนั้นกลับไปท่าเดิมแล้วสลับเข่าขวาเข้าหาหน้าอกทันที

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อหน้าท้อง
  • กล้ามเนื้อแขน หลังแขน
  • กล้ามเนื้อหัวไหล่
  • กล้ามเนื้อขา

3. Lunge +Shoulder Press

Lunge +Shoulder Press

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ยืนตรงถือดัมเบล หรือสิ่งของที่มีน้ำหนัก
  2. ยกดัมเบลตั้งมุม 90 องศา
  3. ก้าวขามาด้านหน้าให้ได้มุม 90 องศา
  4. ยกดัมเบลขึ้นไปด้านบน
  5. กลับไปยืนท่าเดิม แล้วนำดัมเบลตั้งมุม 90 องศาเท่าเดิม

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อหัวไหล่
  • กล้ามเนื้อแขน หลังแขน
  • กล้ามเนื้อขา
  • กล้ามเนื้อก้น

4. Burpee

Burpee

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย
  2. ย่อตัวลงมา พร้อมใช้มือยันพื้น
  3. ดันขาไปด้านหลัง คล้ายท่าวิดพื้น แล้วดันขากลับมาที่เดิม
  4. กระโดดชูแขนขึ้นด้านบน

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อแขน หลังแขน
  • กล้ามเนื้อหัวไหล่
  • กล้ามเนื้อขา
  • กล้ามเนื้อก้น

5. Russian twist

Russian twist

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ถือดัมเบล / สิ่งของที่มีน้ำหนักไว้ที่ลำตัวด้านหน้า หรือตัวเปล่าก็ได้
  2. นั่งชันเข่า แแล้วยกขาขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
  3. เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย
  4. บิดเอวไปด้านซ้าย และด้านขวา

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อหน้าท้อง
  • กล้ามเนื้อแขน
  • กล้ามเนื้อขา

6. Box Squat Jump

Box Squat Jump

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ยืนตัวตรง กางขาออกเล็กน้อย
  2. เกร็งสะโพก และลำตัว แล้วกระโดดขึ้นด้านบนกล่อง
  3. ขณะกระโดดให้ยกเข่าทั้งสองข้างขึ้น พร้อมกับวางเท้าลงบนกล่องแบบไม่กระแทก
  4. ยืดตัวตรง
  5. ลงไปกลับยืนท่าเดิม

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อขา 
  • กล้ามเนื้อก้น

7. Battle rope

Battle rope

ลักษณะท่าเล่น :

  1. ยืนกางขากว้างเท่าหัวไหล่
  2. เกร็งลำตัว
  3. จับปลายเชือกทั้งสองข้าง สะบัดเชือกทั้งสองไปด้านซ้าย และขวาสลับไปเรื่อยๆ

กล้ามเนื้อที่ได้ :

  • กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว
  • กล้ามเนื้อหน้าท้อง
  • กล้ามเนื้อหัวไหล่
  • กล้ามเนื้อหลัง
  • กล้ามเนื้อก้น

ข้างต้นนี้เป็นแค่บางส่วนของท่าในโปรแกรมออกกำลังกาย Functional Training ซึ่งจะเห็นว่าแต่ละท่าในโปรแกรม Functional Training ใช้กล้ามเนื้อแทบจะทุกส่วนของร่างกายเลยครับ แต่ทั้งนี้ควรออกกำลังกายให้ถูกวิธี เนื่องจาก Functional Training มีความยาก เพราะต้องใช้กล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนด้วยกัน

ทางที่ดีควรมีเทรนเนอร์คอยแนะนำ ดูแล จัดท่าทางให้ถูกต้อง โดยทาง Fit.Friend มีเทรนเนอร์พร้อมที่จะพร้อมให้ความรู้ และช่วยให้คุณได้ออกกำลังกายได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล และมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของ Functional Training

  • ช่วยปรับ posture ของร่างกายให้ดูดีขึ้น เช่น การยืน การเดิน การวิ่ง 
  • ช่วยพัฒนาความแข็งแรง และความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น เดินขึ้นลงบันไดแล้วไม่เหนื่อยง่าย การวิ่งได้นานขึ้น
  • ช่วยพัฒนาข้อต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะได้ฝึกกล้ามเนื้อในหลากหลายรูปแบบ
  • ช่วยพัฒนาระบบประสาทและการสั่งการของสมอง เนื่องจากต้องโฟกัสกล้ามเนื้อหลายส่วนในร่างกาย
  • ลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ เนื่องจากร่างกายและกล้ามเนื้อได้ถูกฝึกฝนหลากหลายทิศทาง
  • เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย เนื่องจากร่างกายและกล้ามเนื้อได้ถูกฝึกฝนหลากหลายทิศทาง
  • ลดอาการโรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากร่างกายและกล้ามเนื้อมีความแข็งแรงขึ้น

สรุป

การออกกำลังกาย Fuctional Training เป็นการดีไซน์ท่าออกกำลังกายมาจากท่าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมาช่วยพัฒนาการการเคลื่อนไหวของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ มีบุคลิกภาพที่ดี ลดการอาการเหนื่อยง่ายและช่วยลดไขมัน รวมถึงพัฒนาทั้งระบบประสาทกล้ามเนื้อให้ทำงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้ยังช่วยลดความน่าเบื่อของการออกกำลังกายแบบเดิมๆ อีกด้วย

หากเพื่อนๆ สนใจการออกกำลังกายรูปแบบนี้ให้ Fit.Friend ส่งเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อออกแบบโปรแกรม Fuctional Training สำหรับคุณโดยเฉพาะ สอบถามรายละเอียดเทรนเนอร์ส่วนตัวกับเราได้เลยครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *